ชาติภูมิ
นามเดิม
วงศ์หรือชัยวงศ์
นามสกุล
ต๊ะแหนม
เกิดที่ ตำบลหันก้อ
อำเภอลี้
จังหวัดลำพูน
เกิดเมื่อ วันอังคาร
เดือน ๗ ( เหนือ ) แรม ๒ ค่ำ
ปีฉลู
ตรงกับวันที่ ๒๒
เมษายน ๒๔๕๖
เวลา ๒๔.๑๕
นาฬิกา
มีพี่น้องรวม ๙
คน
ท่านเป็นบุตรคนที่
๓ ชิวิตในวัยเด็ก ท่านเกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาที่ยากจน
พ่อแม่ของท่านมีสมบัติติดตัวมาแค่นา ๓-๔
ไร่
ควาย ๒-๓
ตัว
ทำนาได้ข้าวปีละ
๒๐-๓๐ หาบ
ไม่พอกินเพราะต้องแบ่งไว้ทำพันธุ์ส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ใส่บาตรทำบุญบูชาพระ
ส่วนที่เหลือจึงจะเก็บไว้กินเอง
ต้องอาศัยขุยไผ่ขุยหลวกมาตำเอาเม็ดมาหุงแทนข้าว
และอาศัยของในป่า
รวมทั้งมันและกลอยเพื่อประทั้งชีวิต
บางครั้งต้องอดมื้อกินมื้อก็มี
แม่ต้องไปขอญาติพี่ๆน้องๆ
เขาก็ไม่มีจะกินเหมือนกัน
แม่ต้องกลับมามือเปล่า
พร้อมน้ำตาบนใบหน้ามาถึงเรือน
ลูกๆก็ร้องไห้เพราะหิวข้าว
แม้ว่าครอบครัวของท่านต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอดทนอยากแต่ก็ไม่ได้ละทิ้ง
เรื่องการทำบุญให้ทาน
ข้าวที่แบ่งไว้ทำบุญ
แม่จะแบ่งให้ลูกทุกคนๆละปั้น
ไปใส่บาตรบูชาพระพุทธทุกวันพระ
โยมพ่อเคยสอนว่า "
ตอนนี้พ่อแม่อด
ลูกทุกคนก็อด
แต่ลูกๆทุกคนอย่าท้อแท้ใจ
ค่อยทำบุญไปเรื่อยๆ
บุญมีภายหน้าก็จะสบาย "
และโยมพ่อเคยพูดกับท่านว่า
" ลูกเอ๋ยเราทุกข์ขนาดนี้เชียวหนอ
ข้าวจะกินก็ไม่มี
ต้องกินไปอย่างนี้
ค่อยอดค่อยกลั้นไป
บุญมีก็ไม่ถึงกับอดตายหรอก
ทรมานมานานแล้ว
ถึงวันนี้ก็ยังไม่ตาย
มันจะตายก็ตาย
ไม่ตายก็แล้วไป
ให้ลูกอดทนไปนะ
ภายหน้าถ้าพ่อยังไม่ตายเสียก่อนก็ดี
ตายไปแล้วก็ดี
บางทีลูกจะได้นั่งขดถวายหงายองค์ตีน ( บวช
)
กินข้าวดีๆอร่อยๆ
พ่อนี่จะอยู่ทันเห็นหรือไม่ทันก็ยังไม่รู้
" ผู้มีความขยันและอดทน ในสมัยที่ท่านยังเล็กๆอายุ ๓-๔
ขวบ
ท่านมีโรคประจำตัวคือ
โรคลมสันนิบาต
ลมเปี่ยวลมกัง
ต้องนั่งทุกข์อยู่เป็นวันเป็นคืน
เดินไปไกลก็ไม่ได้
วิ่งก็ไม่ได้เพราะลมเปี่ยว
ตะคริวกินขากินน่อง
เดินเร็วๆก็ไม่ได้
ต้องค่อยไปค่อยยั้ง
เวลาอยู่บ้านต้องคอยเลี้ยงน้อง
ตักน้ำติดไฟไว้คอยพ่อแม่ที่เข้าไปในป่าหาอาหาร
ในช่วงที่ท่านมีอายุได้ ๕-๑๐
ขวบ
ท่านต้องเป็นหลักในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ต้องช่วยงานพ่อแม่มากที่สุด
เวลาพ่อแม่ไปไร่ไปนาก็ไปด้วย
เวลาพ่อแม่ไปหากลอยขุดมัน
หาลูกไม้ในป่า
ท่านก็ไปช่วยขุดช่วยหาบกลับบ้าน
บางครั้งพ่อแม่หลงทางเพราะไปหากลอยตามดอยตามเนินเขา
กว่าจะหากลอยได้เต็มหาบก็ดึก
ขากลับพ่อแม่จำทางไม่ได้
ท่านก็ช่วยพาพ่อแม่กลับบ้านจนได้
ครั้นถึงหน้าฝน
พ่อแม่ออกไปทำนา
ท่านก็ติดตามไปช่วยทุกอย่าง
พ่อปั้นคันนาท่านก็ช่วยพ่อ
พ่อไถนาท่านก็คอยจูงควายให้พ่อ
เวลาแม่ปลูกข้าวก็ช่วยแม่ปลูกจนเสร็จ
เสร็จจากหน้าทำนา
ท่านก็จะเผาไม้ในไร่เอาขี้เถ้า
ไปขุดดินในถ้ำมาผสม
ทำดินปืนไปขาย
ได้เงินซื้อข้าวและเกลือ
บางครั้งก็ไปอยู่กับลุงน้อยเดชะรับจ้างเลี้ยงควาย
บางปีก็ได้ค่าแรงเป็นข้าว ๒-๓
หาบ
บางปีก็เพียงแต่ขอกินข้าวกับลุง
พอตุนท้องตุนไส้ไปวันๆ
พอถึงเวลาข้าวออกรวง
นกเขาจะลงกินข้าวในนา
ท่านก็จะขอพ่อแม่ไปเฝ้าข้าวในนาตั้งแต่เช้ามืด
กว่าจะกลับก็ตะวันลับฟ้าไปแล้ว ผู้มีความกตัญญู หลวงพ่อมีความกตัญญูมาตั้งแต่เด็ก
ท่านช่วยพ่อแม่ทำงานต่างๆ
ทุกอย่างเท่าที่ทำได้
ตั้งแต่อายุได้ประมาณ ๕ ขวบ
ท่านก็ช่วยพ่อแม่เฝ้านา
เลี้ยงน้อง
ตลอดจนช่วยงานทุกอย่างของพ่อแม่
เมื่อเวลาที่พ่อแม่หาอาหารไม่ได้
ท่านก็จะไปรับจ้างชาวบ้านแถบบ้านก้อทำความสะอาด
หรือช่วยเฝ้าไร่นา
เพื่อแลกกับข้าวปลาอาหารมาให้พ่อแม่และน้องๆกิน
ในบางครั้งอาหารที่ได้มาหรือที่พ่อแม่จัดหาให้ไม่เพียงพอกับคนในครอบครัว
ด้วยความที่ท่านมีนิสัยเสียสละ
และไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องเจียดอาหารของท่านทั้งสองซึ่งมีน้อยอยู่แล้วออก
มาให้ท่านอีก
ท่านจึงได้บอกว่า "
กินมาแล้ว "
เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ
แต่พอลับตาผู้อื่น
หรือเมื่อผู้อื่นในบ้านหลับกันหมดแล้ว
ท่านก็จะหลบไปดื่มน้ำ
หรือบางครั้งจะหลบไปหาใบไม้ที่พอจะกินได้มาเคี้ยวกิน
เพื่อประทังความหิวที่เกิดขึ้น
ท่านเติบโตขึ้นมาโดยพ่อแม่เลี้ยงข้าวท่านไม่ถึง ๑๐
ถัง
แต่ท่านในสมัยเป็นเด็ก
กลับหาเลี้ยงพ่อแม่มากกว่าที่พ่อแม่หาเลี้ยงท่าน นิสัยกล้าหาญ เมื่อท่านอายุได้ประมาณ ๑๐
ขวบ
ท่านต้องออกไปเฝ้านาข้าว
เพื่อคอยไล่นกที่จะมากินข้าวในนา
ท่านต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี ๔
ยังไม่สว่าง
นกยังไม่ตื่นออกหากิน
การที่ท่านต้องออกไปไร่นาแต่เพียงลำพังคนเดียวเป็นประจำ
ทำให้ลุงตาลซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของท่านอดสงสัยไม่ได้
จนต้องเข้ามาถามท่าน
ลุงตาล "
มึงนี้เป็นผีเสือหรือไร
แจ้งมากูก็เห็นมึงที่นี่
มึงไม่ได้นอนบ้านหรือ ? "
ด.ช.วงศ์ "
เมื่อนกหนูนอนแล้ว
ข้าจึงกลับไปบ้าน
เช้ามืดไก่ขัน
หัวทียังบ่แจ้ง
นกยังบ่ลงบ่ตื่น
ข้าก็มาคนเดียว "
ลุงตาล "
ไม่กลัวเสือ
ไม่กลัวผีป่าหรือ ? "
ด.ช.วงศ์ "
ผีเสือมันก็รู้จักเรา
มันไม่ทำอะไรเรา
เราเทียวไปเทียวมา
มันคงรู้
และเอ็นดูเรา
บางวันตอนเช้าเราเห็นคนเดินไปข้างหน้า
เราก็เดินตามก็ไม่ทัน
จนถึงไร่มันก็หายไป
เราก็เข้าใจว่ามันไปส่งเรา
เราก็ไม่กลัว
บางเช้าก็ได้ยินเสียงเสือร้องไปก่อนหน้า
"
ลุงตาล "
ไม่กลัวเสือหรือ
? "
ด.ช.วงศ์ "
เราไม่กลัว
มันเป็นสัตว์
เราเป็นคน
มันไม่รังแกเรา
มันคงสงสารเราที่เป็นทุกข์ยาก
มันคงจะมาอยู่เป็นเพื่อน
เราจะไปจะมา
ก็ขอเทวดาที่รักษาป่าช่วยรักษาเรา
เราจึงไม่กลัว
"
ลุงตาล "
มึงเก่งมาก
กูจักทำตามมึง
"
ด.ช.วงศ์ "
เราไม่ได้ทำอะไรมัน
มันก็ไม่ทำอะไรเรา
มันไม่รังแกเรา
เราคิดว่า
คนที่ใจบาปไปเสาะหาเนื้อในป่า
กินกวางกินเก้งกินปลา
เสือก็ยังไม่กัดใครตายในป่าสักคน
เวลาเราจะลงเรือน
เราก็ขอให้บุญช่วยเรา "
ลุงตาล "
มึงยังเด็ก
อายุไม่ถึง ๑๐
ขวบ
มืดๆ
ดึกๆก็ไม่กลัวป่า
ไม่กลัวเถื่อน
ไม่กลัวผีป่าผีพง
ไม่กลัวช้าง
กูยอมมึงแล้ว
" ปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์ ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าคนเดียวตามลำพัง
ท่านได้เปรียบเทียบชีวิตท่านกับสัตว์ป่าทั้งหลายว่า "
นกทั้งหลายต่างก็หากินไป
ไม่มีที่หยุด
ต่างก็เลี้ยงตัวเองไปตามประสามัน
ก็ยังทนทานไปได้
ตัวเราค่อยอดค่อนทนไปก็ดีเหมือนกัน
สัตว์ทั้งหลายก็ทุกข์ยากอย่างเรา
สัตว์ในโลกก็ทุกข์เหมือนกันทุกอย่าง
เราไม่ควรจะเหนื่อยคร้าน
ค่อยอดค่อยทนตามพ่อแม่นำพาไป
" พรหมวิหารสี่
หลวงพ่อมีความเมตตากรุณาและพรหมวิหารสี่มาแต่เยาว์วัยอย่างหาที่เปรียบมิ
ได้
เพื่อนของหลวงพ่อตั้งแต่สมัยนั้นเล่าว่า
เมื่อสมัยที่ท่านเป็นเด็กระหว่างทางไปหาของหรืออาหารป่า
ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ถูกกับดักของนายพราน
ท่านจะปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้มีอิสรภาพเสมอ
แล้วจะหาสิ่งของมาทดแทนให้กับนายพราน
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของมัน
ครั้งหนึ่งท่านเห็นตัวตุ่นถูกกับดักนายพรานติดอยู่ในโพรงไม้ไผ่
ด้วยความสงสารท่านจึงปล่อยตัวตุ่นนั้นไป
แล้วหยิบหัวมันที่หามาได้จากในป่า
ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้องๆกิน
ใส่เข้าไปในโพรงไม้นั้นแทน
เพื่อเป็นการชดใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตของตัวตุ่นนั้น
ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง
ท่านไปพบปลาดุกติดเบ็ดของชาวบ้านที่นำมาปักไว้ที่ห้วย
ท่านเห็นมันดิ้นทุรนทุรายแล้วเกิดความสงสารเวทนาปลาดุกตัวนั้นมาก
จึงปลดมันออกจากเบ็ด
แล้วเอาหัวผักกาดที่ท่านทำงานแลกมาซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้องๆ
กิน
มาเกี่ยวไว้แทนเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตปลาดุกนั้น
หลวงพ่อได้เมตตาบอกถึงเหตุผลที่กระทำเช่นนั้นว่า
ในเวลานั้นท่านมีความเวทนาสงสารสัตว์เหล่านั้นจึงได้ช่วยชีวิตของมันไว้
ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า "
ชีวิตของใครๆก็รักทั้งนั้น
เราทุกคนควรจะเมตตาตนเอง
และเมตตาผู้อื่นอยู่เสมอ
โลกนี้จะได้มีความสุข "
ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบการผิดศีลมาตั้งแต่สมัยเด็ก
เมื่อท่านเห็นว่าคนอื่นจะผิดศีล ข้อปาณาติบาต (
การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต )
ก็รู้สึกสงสารทั้งผู้ทำปาณาตีบาตและผู้ถูกปาณาติบาต
ซึ่งท่านไม่อยากเห็นพวกเขามีเวรมีกรรมกันต่อไป
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องผิดศีลโดยไปลักขโมยของผู้
อื่น
ซึ่งในเวลานั้นท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ท่านจึงต้องหาสิ่งของมาตอบแทนให้กับเขา
แต่ในบางครั้งก็ไม่มีสิ่งของมาแลกกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเหมือนกัน
แต่ท่านก็สามารถจะช่วยมันได้โดยปล่อยมันให้เป็นอิสระ
แล้วท่านนั่งรอนายพรานจนกว่าเขาจะมาและก็ขอเอาตัวเองชดใช้แทน
ซึ่งท่านได้เล่าว่า
บางคนก็ไม่ถือสาเอาความ
แต่บางคนก็ให้ไปทำงานหรือทำความสะอาด
ทดแทนกับที่ท่านไปปล่อยสัตว์ที่เขาดักไว้
แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายทุบตีท่าน
อาจจะมีบ้างก็เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือน
ท่านได้พูดว่า "
แม้ว่าบางครั้งจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้ชีวิตของสัตว์ที่ท่านได้ปล่อยไป
แต่ท่านก็รู้สึกยินดีและปิติใจเป็นอันมากที่ได้ทำในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้
"
กินอาหารมังสวิรัติ
เมื่อท่านอายุได้ ๑๒
ปี
ท่านได้พบเหตุการณ์สำคัญที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้นเลยนับแต่นั้นมา
กล่าวคือ
มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง
แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์มันกลับร้องโอยๆๆๆเหมือนเสียงคน
ร้อง
แล้วสิ้นใจตายในที่สุด
และเมื่อท่านไปอยู่กับครูบาชัยลังก๋าซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์
ท่านจึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา
อีกประการหนึ่งอาจเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสะมาแต่อดีตชาติ
ประกอบกับได้เห็นความทุกข์ยากของสัตว์ต่างๆที่ถูกทำร้าย
จึงทำให้ท่านเกิดความสลดใจอยู่เสมอ
ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงคุณพระศรีรัตนตรัยตั้งแต่นั้นมาว่า
"
จะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์และจะไม่ขอกินเนื้อ
สัตว์อีกต่อไป "
ท่านได้เมตตาสอนว่า
"
สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมรักและหวงแหนชีวิตของมันเอง
เราทุกคนไม่ควรจะเบียดเบียนมัน
มันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข " และท่านยังพูดเสมอว่า "
ท่านต้องการให้ศีลของท่านบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ
"
สัตว์ทุกตัวมันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน
เมื่อเราฆ่ามันตายเพื่อกินเนื้อมัน
จิตของมันไปที่สำนักพระยายมก็จะฟ้องร้องว่าคนนั้นฆ่ามันตาย
คนนี้กินเนื้อของมัน
ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่า
คนกินก็เป็นจำเลยด้วยก็ย่อมต้องได้รับโทษ
แต่จะออกมาในรูปของการเจ็บไข้ได้ป่วย
และความไม่สบายต่างๆซึ่งเจ้าตัวไม่รู้สึกเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
บรรพชาเป็นสามเณร
เมื่อท่านอายุย่าง
๑๓ ปี ( พ.ศ. ๒๔๖๘ )
ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ปางก่อนในอดีตชาติ
และได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ในชาตินี้จึงดลบันดาลให้ท่าน
มีความเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก อันเป็นทุกขัง อนิจจัง
อนัตตา
ท่านจึงได้รบเร้าขอให้พ่อแม่ท่านไปบวช
เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อบิดามารดาได้ฟังก็เกิดความปิติยินดีเป็นยิ่งนัก
ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่ก็ได้นำท่านไปฝากกับหลวงอาท่านได้อยู่เป็นเด็กวัด
กับหลวงอาได้ไม่นาน
หลวงอาจึงนำท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์และบวชเณรกับครูบาชัยลังก๋า
( ซึ่งเป็นธุดงค์กรรมฐานรุ่นพี่ของครูบาศรีชัย )
ครูบาชัยลังก๋าได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่หลังจากเป็นสามเณรแล้วว่า "
สามเณรชัยลังก๋า "
เช่นเดียวกับชื่อของครูบาชัยลังก๋า มีความเคารพเชื่อฟัง ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ตลอดจนผู้
สูงอายุ
จึงทำให้ครูบาอาจารย์และผู้เฒ่าผู้แก่รักใคร่เอ็นดูมาก
จนเป็นเหตุทำให้เพื่อนเณรบางคนพากันอิจฉาริษยา
หาว่าท่านประจบครูบาอาจารย์
เมื่อใดที่ท่านอยู่ห่างจากครูบาอาจารย์เป็นต้องถูกรังแกเสมอ
ทำให้การอยู่ปรนนิบัติติดตามครูบาอาจารย์เป็นไปอย่างไม่มีความสุข
แต่ด้วยความเคารพกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
และต้องการที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพื่อมรรคผล
ท่านจึงได้ใช้ขันติและให้อภัยแก่พระเณรเหล่านั้นที่ไม่รู้สัจจธรรมในเรื่อง
กฎแห่งกรรมที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้กล่าวไว้ว่า "
ทำความดีได้ดี
ทำความชั่วผลแห่งความชั่วย่อมตอบสนองผู้นั้น
" ชายชราลึกลับ เพื่อนพระสงฆ์ที่เคยอยู่ร่วมกันกับท่านในสมัยเป็นเณรได้เล่าว่า
" หลวงพ่อวงศ์เป็นผู้มีขันติและอภัยทานสูงส่งจริงๆ
"
ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกเณรองค์อื่น
เอาน้ำรักทาไว้บนที่นอนของท่านในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า
และเทียนก็หาได้ยาก
ท่านจึงมองไม่เห็น
เมื่อท่านนอนลงไป
น้ำรักก็ได้กัดผิวหนังของท่านจนแสบจนคัน
ท่านจึงได้เกาจนเป็นแผลไปทั้งตัว
ไม่นานแผลเหล่านั้นก็ได้เน่าเปื่อยขึ้นมาจนทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนามาก
แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีมีธรรมะเมตตาให้อโหสิกรรมกับผู้อื่น
ท่านจึงใช้ขันติข่มความเจ็บปวดเหล่านั้นโดยไม่ปริปากหรือกล่าวโทษผู้ใด
ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์ถาม
ท่านก็ไม่ยอมที่จะกล่าวโทษใครเลย เพียงเรียนไปว่า
ขออภัยให้กับพวกคนเหล่านั้นเท่านั้นและขอยึดเอาคำของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ
เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไปในอนาคต
และเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎสงสารแห่งนี้เข้ามรรคผลดังที่ครูบาอาจารย์ได้อบรม
สั่งสอนมาด้วยความยากลำบาก
เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดีและเป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป
ด้วยผลบุญที่ท่านได้สั่งสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน
จึงดลบันดาลให้มีชายชราชาวขมุนำยามาให้ท่านกิน
ให้ท่านทาเป็นเวลา ๓
คืน
เมื่อท่านหายดีแล้ว
ชายชราผู้นั้นก็ได้กลับมาหาท่าน
และได้พูดกับท่านว่า
"
เป็นผลบุญของเณรน้อยที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้ดีมาก
และมีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีมาก
จึงทำให้แผลหายเร็ว
ขอให้เณรน้อยจงหมั่นทำความดีปฏิบัติธรรม
และเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ต่อไปอย่าได้ท้อถอย
ไม่ว่าจะมีมารมาขัดขวางอย่างไรก็ดี
ขอเณรน้อยใช้ความดีชนะความไม่ดีทั้งหลาย
ต่อไปในภายภาคหน้าสามเณรน้อยจะได้เป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป
" เมื่อชายชราผู้นั้นกล่าวจบแล้ว
จึงได้เดินลงจากกุฏิที่ท่านพักอยู่
สามเณรชัยลังก๋านึกได้ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของชายชราผู้มีพระคุณจึงวิ่งตามลง
มา
แต่เดินหาเท่าไรก็ไม่พบชายชราผู้นั้น
ท่านจึงได้สอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่พบเห็นชายชราเช่นนี้มาก่อนเลย
นอกจากเห็นท่านนอนอยู่องค์เดียวในกุฏิ
จากคำพูดของคนเหล่านี้ทำให้ท่านประหลาดใจมาก
เพราะท่านได้พูดคุยกับชายชราผู้นั้นถึง ๓
คืน
เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านคิดว่าชายชราผู้นั้นถ้าไม่เป็นเทพแปลงกายมา
ก็อาจจะเป็นผู้ทรงศีลที่บำเพ็ญอยู่ในป่าจนได้อภิญญา
การกลั่นแกล้งจากพระเณรที่อิจฉาริษยายังไม่สิ้นสุดแค่นั้น
บางครั้งเวลานอนก็ถูกเอาทรายกรอกปาก
ถึงเวลาฉันก็ฉันไม่ได้มาก
เพราะถูกพระเณรที่ไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษรังแก
หรือหยิบอาหารของท่านไปกิน
แต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความอดทนและยึดมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านจึงอโหสิกรรมพวกเขาและใช้ขันติในการปฏิบัติธรรมรับใช้ปรนนิบัติครูบา
อาจารย์ด้วยดีต่อไป
ครูบาชัยลังก๋ามักลูบหัวของท่านด้วยความรักเอ็นดูและสั่งสอนให้ด้วยความ
เมตตาอยู่เสมอว่า "
มันเป็นกรรมเก่าของเณรน้อย
ตุ๊ลุงขอให้เณรน้อยใช้ขันติและความเพียรต่อไป
เพื่อโลกุตตรธรรมอันยิ่งใหญ่ในภายหน้า
เมื่อถึงเวลานั้นแล้วทุกคนที่เคยล่วงเกินเณรน้อย
เขาจะรู้กรรมที่ได้ล่วงเกินเณรน้อยมา
"ไปวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ในระยะที่อยู่กับครูบาชัยลังก๋าๆได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆให้แก่ท่าน
เช่น ภาษาล้านนา ธรรมะ การปฏิบัติกรรมฐาน
รวมทั้งธุดงควัตร
ตลอดถึงการดำรงชีวิตในป่าขณะธุดงค์
ครูบา-ชัยลังก๋ามักพาท่านไปแสวงบุญและธุดงค์ไปในที่ต่างๆเสมอ
เพื่อให้ท่านมีประสบการณ์
ทั้งยังเคยพาท่านไปนมัสการรอบพระพุทธบาทห้วยต้มหลายครั้ง (
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ในสมัยก่อนนั้นชื่อว่า วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม )
สมัยนั้นวัดนี้เป็นวัดร้างยังเป็นเขาอยู่
ครั้งหนึ่งสามเณรชัยลังก๋าเห็นวิหารทรุดโทรมมาก
จึงกราบเรียนถามครูบาชัยลังก๋า "
ทำไมตุ๊ลุงถึงไม่มาสร้างวัดนี้มันทรุดโทรมมาก "
ครูบาชัยลังก๋าตอบด้วยความเมตตาว่า "
มันไม่ใช่หน้าที่ของตุ๊ลุงแต่จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้าง "
ขณะที่ครูบาชัยลังก๋ากล่าวอยู่นั้น
ท่านก็ได้ชี้มือมาที่สามเณรน้อยชัยลังก๋าพร้อมกับกล่าวว่า "
อาจจะเป็นเณรน้อยนี้กะบ่ฮู้ที่จะมาบูรณะวัดนี้ " ท่านจึงได้เรียนไปว่า
" เฮายังเป็นเณรจะสร้างได้อย่างใด "
ครูบาชัยลังก๋าจึงกล่าวตอบไปด้วยความเมตตาว่า " ถึงเวลาจะมาสร้าง
ก็จะมาสร้างเอง "
คำพูดของครูบาชัยลังก๋านี้ไปพ้องกับคำพูดของครูบาศรีวิชัยที่เคยกล่าวกับ
หม่องย่นชาวพม่า เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ ๕
ขวบ
ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัยได้รับนิมนต์จากหม่องย่นให้มารับถวายศาลาที่วัดพระ
พุทธบาทห้วยต้ม
หม่องย่นให้ขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มให้เจริญรุ่งเรือง
แต่ครูบาศรีวิชัยได้ตอบปฏิเสธไปว่า "
ไม่ใช่หน้าที่กู
จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้างในภายภาคหน้า
"
ท่านอยู่กับครูบาชัยลังก๋าที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยเป็นเวลา ๑
ปี
หลังจากนั้นครูบาชัยลังก๋าได้ออกจาริกธุดงค์ไปโปรดชาวบ้านที่จังหวัด
เชียงราย
ครูบาชัยลังก๋าได้ให้ท่านอยู่เฝ้าวัดกับพระเณรองค์อื่น
ในช่วงที่ท่านอยู่วัดนี้
ท่านก็ได้พบกันครูบาศรีวิชัยเป็นครั้งแรกซึ่งท่านเคารพนับถือครูบาศรีวิชัยมาก่อนหน้านี้แล้ว
ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัยได้มาเป็นประธานใน
การฉลองพระธาตุที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย
ในโอกาสนี้ท่านจึงได้อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยเป็นเวลา
๗ วัน
การพบกันครั้งแรกนี้
ครูบาศรีวิชัยก็ได้รับท่านไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้ว
ท่านก็ยังประจำอยู่ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยได้ไม่นาน
เพราะทนต่อการกลั่นแกล้งจากพระเณรอื่นไม่ไหว
จึงได้เดินทางกลับมาอยู่กับหลวงน้าของท่านเพื่อช่วยสร้างพระวิหารที่วัดก้อ
ท่าซึ่งเป็นวัดร้างประจำหมู่บ้านก้อท่า ตำบลก้อทุ่ง อำเภอลี้
จังหวัดลำพูนในระหว่างอายุ ๑๕-๒๐ ปีนั้น
ท่านได้ติดตามครูบาอาจารย์หลายองค์
และได้จาริกออกธุดงค์
ปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ
ตลอดจนได้ไปอบรมสั่งสอนชาวบ้านชาวเขาในที่ต่างๆด้วยเช่นกัน
ในบางครั้งก็ไปกับครูบาอาจารย์
ในบางครั้งก็ไปองค์เดียวเพียงลำพัง
เมื่อมีโอกาสท่านก็จะกลับมารับการฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ของท่าน
เสมอๆ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
เมื่ออายุ ๒๐
ปี
ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีครูบาพรหมจักร
วัดพระบาทตากผ้าเป็นอุปัชฌาย์
ได้รับฉายาว่า "
ชัยยะวงศา " ในระหว่างนั้น
ท่านได้อยู่ปฏิบัติและศึกษาธรรมะกับครูบาพรหมจักร
ในบางโอกาสท่านก็จะเดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมไปในที่ต่างๆทั้งลาวและพม่า
ท่านได้อยู่กับครูบาพรหมจักรระยะหนึ่งแล้ว
จึงได้กราบลาครูบาพรหมจักรออกจาริกธุดงค์ไปแสวงหาสัจจธรรมความหลุดพ้นจาก
วัฏสงสารแห่งนี้เพียงลำพังองค์เดียวต่อ
เพื่อเผยแพร่สั่งสอนธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกชาวเขา
ในที่ต่างๆเช่นเคย สอนธรรมะแก่ชาวเขา
ขณะที่ท่านธุดงค์ไปในที่ต่างๆ
ท่านได้พบและอบรมสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับชาวบ้านและชาวเขาในที่
ต่างๆ
ท่านเล่าว่า
ตอนที่ท่านพบชาวเขาใหม่ๆนั้น
ในสมัยนั้นชาวเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา
ในขณะที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามหมู่บ้านของพวกชาวเขา
พวกชาวเขาเหล่านี้ก็จะรีบอุ้มลูกจูงหลานหลบเข้าบ้านเงียบหายกันหมดพร้อมกับ
ตะโกนบอกต่อๆกันว่า " ผีตาวอดมาแล้วๆๆ "
ในบางแห่งพวกผู้ชายบางคนที่ใจกล้าหน่อยก็เข้ามาสอบถามและพูดคุยกับท่าน
บางคนเห็นหัวของท่านแล้วอดรนทนไม่ไหวที่เห็นหัวของท่านเหน่งใส
จึงเอามือลูบหัวของท่านและทักทายท่านว่า " เสี่ยว " (
แปลว่าเพื่อน ) หลวงพ่อว่าในตอนนั้น
ท่านไม่รู้สึกเคืองหรือตำหนิเขาเหล่านั้นเลย
นอกจากขบขันในความซื่อของพวกเขา
เพราะพวกเขายังไม่รู้จักพุทธศาสนา
ในสมัยนั้นพวกชาวเขายังนับถือลัทธิบูชาผี
บูชาเจ้า
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ถือธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่แห่งนั้น
เพื่อจะหาโอกาสสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับพวกชาวเขา
การสอนของท่านนั้น ท่านได้เมตตาบอกว่า
ท่านต้องทำและสอนให้พวกเขารู้อย่างช้าๆ
ค่อยเป็นค่อยไป
โดยไม่ทำให้พวกเขามีความรู้สึกแปลกประหลาดและขัดต่อจิตใจความเป็นอยู่ที่เขา
มีอยู่สร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
เมื่ออายุได้ ๒๒
ปี
ท่านจึงเดินทางกลับมาหาครูบาศรีวิชัยพร้อมกับชาวกะเหรี่ยงที่เป็นศิษย์ของ
ท่าน
เพื่อช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
ในครั้งนี้ครูบาศรีวิชัยได้เมตตาให้ท่านเป็นกำลังสำคัญทำงานร่วมกับครูบาขาว
ปีในการควบคุมชาวเขาช่วยสร้างทางอยู่เสมอ
โดยเฉพาะในช่วงที่ยากลำบาก เช่น การสร้างถนนในช่วงหักศอก
ก่อนที่จะถึงดอยสุเทพ
ในระหว่างกำลังสร้างทางช่วงนี้
ได้มีหินก้อนใหญ่มากติดอยู่ใกล้หน้าผา
จะใช้กำลังคนหรือช้างลากเช่นไรก็ไม่ทำให้หินนั้นเคลื่อนไหวได้
ชาวกะเหรี่ยงที่ทำงานอยู่นั้นจึงไปกราบเรียนให้
ครูบาศรีวิชัยทราบ
ท่านจึงให้คนไปตามหลวงพ่อซึ่งกำลังสร้างทางช่วงอื่นอยู่
เมื่อหลวงพ่อวงศ์มาถึงท่านได้ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
จึงได้เดินทางไปผลักหินก้อนนั้นลงสู่หน้าผานั้นไป
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แปลกใจไปตามๆ
กันที่เห็นท่านใช้มือผลักหินนั้นโดยไม่อาศัยเครื่องมือใดๆ
ครูบาศรีวิชัยได้ยืนยิ้มอยู่ข้างๆท่านด้วยความพอใจ ประทับรอยเท้าเป็นอนุสรณ์
ขณะที่ท่านช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอย
สุเทพ
ท่านได้ประทับรอยเท้าลึกลงไปในหินประมาณ ๑ ซ.ม.
ข้างน้ำตกห้วยแก้ว (
ช่วงตอนกลางๆของทางขึ้นดอยสุเทพ
เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทาง )
อุปสรรค
ท่านเป็นผู้ที่ครูบาศรีวิชัยไว้ใจมากองค์หนึ่ง
เพราะเมื่อครูบาศรีวิชัยมีปัญหาเรื่องขาดกำลังคน
ครูบาศรีวิชัยก็จะมอบหน้าที่ให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงอยู่บนดอยต่างๆมาช่วยสร้างทาง หลวงพ่อเล่าว่า
การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
และการสร้างบารมีของครูบาศรีวิชัยนั้น
ทุกข์ยากลำบาก
ท่านได้ใช้ตัวของท่านเองเป็นตัวอย่างให้เขาดู
ในการที่จะทำให้พวกเขาหันมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์
เมื่อพวกเขาถามท่านว่า " ทำไมท่านจึงโกนผมจนหัวเหน่ง
และนุ่งห่มสีเหลืองทั้งชุดดูแล้วแปลกดี
"
ท่านก็จะถือเอาเรื่องที่เขาถามมาเป็นเหตุในการเทศน์
เพื่อเผยแพร่ธรรมะให้พวกเขาได้ปฏิบัติและรับรู้กัน
หลวงพ่อได้เล่าว่า
การสอนให้เขารู้ธรรมะนั้น
ท่านต้องสอนไปทีละขั้น
เพื่อให้เขารู้จักพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เสียก่อน
จากนั้นท่านจึงสอนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับ
พวกเขา
โดยเฉพาะการทำงาน
การถือศีล และการนั่งภาวนา
ให้พวกเขาได้ปฏิบัติยึดถือกัน
โดยเฉพาะเรื่องของศีล ๕
ท่านจะสอนเน้นให้พวกเขาไม่เบียดเบียนผู้อื่น
และไม่ทำร้ายผู้อื่น
เพื่อจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไปในภายภาคหน้า
ซึ่งการสอนของท่านทำให้พวกชาวเขาได้รับความสงบสุขภายในหมู่บ้านของเขาอย่าง
ที่ไม่เคยมีมาก่อน
พวกเขาจึงยิ่งเคารพนับถือและเชื่อฟังในคำสั่งสอนของท่านมากยิ่งขึ้น สอนกินมังสวิรัติ
หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า
ในสมัยนั้นพวกชาวเขาได้นำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาถวาย
แต่ท่านหยิบฉันเฉพาะที่เป็นผักเป็นพืชเท่านั้น
ทำให้เขาเกิดความสงสัย
ท่านจึงได้ยกเอาเรื่องในพุทธชาดกมาเทศน์ให้พวกเขาฟัง
เพื่อเป็นการเน้นให้เห็นถึงกฎแห่งกรรมและผลดีของการรักษาศีล
ท่านได้อยู่อบรมสั่งสอนให้พวกเขารับรู้ถึงธรรมะและการรักษาศีลอยู่เสมอๆ
ทำให้พวกเขาเลื่อมใสและหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาโดยละทิ้งประเพณีเก่าๆ
ที่เคยปฏิบัติกันมา
ต่อมาพวกชาวเขาเหล่านี้ก็ได้เจริญรอยตามท่าน
โดยเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินมังสวิรัติแทน (
ดังที่เราจะเห็นได้จากกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านพระพุทธบาทห้วยต้ม
ในปัจจุบันนี้ )
เมื่อท่านได้สอนพวกเขาให้นับถือศาสนาพุทธแล้ว
ท่านก็จะจาริกธุดงค์แสวงหาสัจธรรมต่อไป
และถ้ามีโอกาสท่านก็จะกลับไปโปรดพวกเขาเหล่านั้นอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ชาวเขาและชาวบ้านในที่ต่างๆที่ท่านเคยไปสั่งสอนมาจึงเคารพนับถือ
ท่านมากมาก
เพราะถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่นที่ไม่เข้าใจและอิจฉาริษยาอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่ครูบาศรีวิชัยให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงมาช่วยสร้างทาง
ระหว่างการเดินทางต้องคอยหลบเลี่ยงจากการตรวจจับของพวกตำรวจหลวงและคณะสงฆ์
ที่ไม่เข้าใจ
ครูบาศรีวิชัยท่านได้เล่าว่า
ในเวลากลางวันต้องหลบซ่อนกันในป่าหรือเดินทางให้ห่างไกลจากเส้นทางสัญจร
เพื่อหลบให้ห่างจากผู้ขัดขวาง
ส่วนในเวลากลางคืนต้องรีบเดินทางกันอย่างฉุกละหุก
เพราะเส้นทางต่างๆมืดมากต้องอาศัยโคมไฟตามบ้านเป็นการดูทิศทาง
เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยบารมีและความตั้งมั่นในการทำความดีของครูบาศรีวิชัยที่มีต่อพระพุทธศาสนาทำให้พุทธบริษัททั้งชาวบ้านและชาวเขาจากในที่ต่างๆ
จำนวนมากมาช่วยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพได้สำเร็จดังความตั้งใจของครูบาศรีวิชัย
โดยใช้เวลาสร้างเพียง ๗
เดือนเท่านั้น
เมื่อครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
สำเร็จแล้ว
หลวงพ่อจึงได้ไปกราบลาครูบาศรีวิชัย กลับไปอยู่ที่เมืองตื๋น
วัดจอมหมอก ตำบลแม่ตื๋น กิ่งอำเภออมก๋อย
จังหวัดเชียงใหม่ ห่มขาว
เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี
ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดจอมหมอก
เจ้าคณะตำบลได้มาจับท่านสึก
ในข้อหาที่ท่านเป็นศิษย์และเป็นกำลังสำคัญที่ปฏิบัติเชื่อฟังครูบาศรีวิชัย
อย่างเคร่งครัด (
ซึ่งในขณะนั้นครูบาศรีวิชัยได้ถูกจับมาสอบสวนอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ )
แต่ตัวท่านเองไม่ปรารถนาที่จะสึก จะหนีไม่ได้
เมื่อทางคณะสงฆ์จะจับท่านสึก
และให้นุ่งห่มดำหรือแต่งแบบฆราวาส ท่านไม่ยอม
เพราะท่านไม่ได้ผิดข้อปฏิบัติของสงฆ์
แต่เมื่อคณะสงฆ์ที่ไปจับท่านสึก
ไม่ให้ห่มเหลือง
ท่านจึงหาผ้าขาวมาห่มแบบสงฆ์ เลียนเยี่ยงอย่างครูบาขาวปี
วัดผาหนาม ( ซึ่งเคยถูกจับสึก
ไม่ให้ห่มเหลืองในข้อหาเดียวกัน
ในคราวที่ครูบาศรีวิชัยถูกอธิกรณ์
ก่อนที่จะมีการสร้างทางขึ้นนำมาพิจารณาและปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน
ธุดงค์น้ำแข็ง
บ่อยครั้งท่านได้ธุดงค์จาริกผ่านไปที่กิ่งอำเภออมก๋อยในฤดูหนาว
บริเวณภูเขาของกิ่งอำเภออมก๋อยจะมีเหมยค้างปกคลุมไปทั่ว (
เหมยค้างนี้ภาษาภาคเหนือ หมายถึง น้ำค้างที่กลายเป็นน้ำแข็ง )
ในบริเวณนี้มีต้นสนขนาดต่างๆขึ้นเต็มไปหมด
ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย
เวลาย่ำเดินไปบนพื้นน้ำแข็ง
ขาจะจมลึกลงไปในน้ำแข็งนั้น
ทำให้เกิดความหนาวเย็นเป็นอันมาก
เพราะท่านมีแต่ผ้าที่ครองอยู่เพียงชั้นเดียวเท่านั้น
โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดผ่านมา
ท่านต้องสั่นสะท้านทุกครั้ง ท่านได้เล่าว่า
ความแห้งแล้งของอากาศและความหนาวเย็นของน้ำแข็ง
ทำให้ผิวหนังของท่านแตกปริเป็นแผลไปทั้งตัว
ต้องได้รับทุกขเวทนามาก
สมัยนั้นในภาคเหนือ
จะหากลดมาสักอันหนึ่งก็ยากมาก
การธุดงค์ของท่านก็มีแต่อัฏฐบริขารเท่านั้นที่ติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง
ช้อนก็ทำจากกะลามะพร้าว
ถ้วยน้ำก็ทำจากกระบอกไม้ไผ่
ผ้าจีวรที่ครองอยู่ก็ต้องปะแล้วปะอีก
ท่านได้เมตตาเล่าว่า
แต่การปฏิบัติภาวนาบนภูเขาที่มีน้ำแข็งปกคลุมมากเช่นนี้
ทำให้การปฏิบัติสมถะและวิปัสนากรรมฐานนั้นกลับแจ่มชัดและรวดเร็วดียิ่งกว่า
ในเวลาปกติธรรมดา
เพราะทำให้ได้เห็นเรื่องของไตรลักษณ์ได้ชัดเจนดี
และการพิจารณาขันธ์
๕ อันเป็น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ก็สามารถเห็นอย่างแจ่มชัด
ทำให้ในขณะภาวนาทำสมาธิอยู่นั้นจิตสงบดีมาก
ไม่พะวงกับสิ่งภายนอกเลย
ในบางครั้งขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น
ไฟที่ก่อไว้ได้ลุกไหม้จีวรของท่านไปตั้งครึ่งค่อนตัว
ท่านยังไม่รู้สึกตัวเลย
เมื่อจิตออกจากสมาธิแล้ว
ท่านต้องรีบดับไฟที่ลุกไหม้อยู่นั้นอย่างรีบด่วน
ทำให้ต้องครองผ้าจีวรขาดนั้นไปจนกว่าจะเดินทางไปพบหมู่บ้าน
ท่านก็จะนำผ้าที่ชาวบ้านถวายให้มาต่อกับจีวรผืนเก่าที่เหลืออยู่นั้น
ในบางครั้งท่านจะนำผ้าบังสุกุลที่พบในระหว่างทาง
มาเย็บต่อจีวรที่ขาดอยู่นั้นตามแบบอย่างที่ครูบาอาจารย์ในยุคก่อนๆปฏิบัติ
สืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล
หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ผู้ถ่อมตน
และไม่เคยโออวดเป็นนิสัย
เมื่อมีผู้สงสัยว่า
ท่านคงเข้าสมาธิจนสูงถึงขึ้นจิตไม่จับกับ กาย เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ แล้ว
จึงไม่รู้ว่าไฟไหม้
ตัวท่านมักตอบเลี่ยงไปด้วยใบหน้าเมตตาว่า "
คงจะอากาศหนาวมากหลวงพ่อจึงไม่รู้ว่าไฟไหม้จีวร
" ครูบาศรีวิชัยมรณภาพ เมื่อท่านได้ ๒๘
ปี
ขณะนั้นท่านได้จาริกธุดงค์สั่งสอนชาวป่าชาวเขาดอยต่างๆ
ท่านได้ทราบข่าวการมรณภาพของครูบาศรีวิชัย
จึงได้เดินทางลงจากเขาเพื่อไปนมัสการพระศพ
และช่วยจัดทำพิธีศพของครูบาศรีวิชัย
ร่วมกับครูบาขาวปีและคณะศิษย์ของครูบาศรีวิชัย
ที่วัดบ้านปาง
เมื่อเสร็จจากพิธีบรรจุศพครูบาศรีวิชัยแล้ว
กรมทางได้นิมนต์ให้ท่านไปช่วยสร้างเส้นทางบ้านห้วยกาน -
บ้านห้วยหละ
ซึ่งในตอนนั้นท่านก็ยังห่มผ้าสีขาวอยู่
เมื่อการสร้างทางได้สำเร็จลงแล้ว
ชาวบ้านห้วยหละจึงได้มานิมนต์ท่านไปจำพรรษา
และอบรมสั่งสอนพุทธบริษัทที่สำนักสงฆ์ห้วยหละ
อำเภอบ้านโฮ่ง
จังหวัดลำพูน ห่มเหลืองอีกครั้ง
ขณะนั้นหลวงพ่ออายุได้ ๒๘ ปี
ได้รับนิมนต์ไปอยู่ช่วยบูรณะวัดป่าพลู
และในปีนี้ท่านได้มีโอกาสห่มเหลืองเช่นพระสงฆ์ทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง
โดยมีครูบาบุญมา
วัดบ้านโฮ่ง
เป็นพระอุปัชฌาย์
และได้รับฉายาใหม่ว่า " จันทวังโส
"
ในการห่มเหลืองในครั้งนี้
คณะสงฆ์ได้ออกญัตติให้ท่านต้องจำพรรษาที่วัดป่าพลูเป็นเวลา ๕
พรรษา
เมื่อออกพรรษาในแต่ละปีท่านจะเดินทางไปธุดงค์และจาริกสั่งสอนธรรมะให้กับชาว
ป่าชาวเขาในที่ต่างๆ
เสมอเหมือนที่ท่านเคยปฏิบัติมาในอดีต
และบ่อยครั้งท่านจะไปช่วยครูบาขาวปีบูรณะวัดพระพุทธบาทตะเมาะ
อำเภอฮอด
จังหวัดเชียงใหม่
ตรงตามคำทำนาย
เมื่อท่านอยู่วัดป่าพลูครบ ๕
พรรษาตามบัญญัติของสงฆ์แล้ว
ในขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๓๔ ปี
นายอำเภอลี้และคณะสงฆ์ในอำเภอลี้
ได้ให้ศรัทธาญาติโยมวัดนาเลี่ยงมานิมนต์ครูบาขาวปีหรือท่านองค์ใดองค์หนึ่ง
เพื่อไปอยู่เมตตาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม
แต่ครูบาขาวปีไม่ยอมไป
และบอกว่า "
ไม่ใช่หนึ่งที่ของกู
" ครูบาศรีวิชัยเคยพูดไว้ว่า "
วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มนั้น
มันเป็นหน้าที่ของครูบาวงศ์องค์เดียว
"
ด้วยเหตุนี้
ครูบาขาวปีจึงขอให้ท่านไปอยู่โปรดเมตตาสร้าง
วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม
ซึ่งต่อมาในภายหลังจากที่ท่านได้ไปอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มแล้ว
ท่านได้เปลี่ยนชื่อให้สั้นลงเป็น " วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
"
ในขณะที่ท่านอยู่ที่เมืองตื๋นนั้น
ชาวบ้านและชาวเขาต่างเรียกท่านว่า " น้อย "
เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดพระบาทห้วยต้ม
ชาวบ้านทั้งหลายจึงเชื่อกันว่า ท่านคงเป็น "
พระน้อยเมืองตื๋น " ตามคำโบราณที่ได้จารึกไว้ ณ วัดพระพุทธบาทห้วย (
ข้าว ) ต้ม
เหตุการณ์นี้ก็ตรงตามคำพูดของครูบาชัยลังก๋าและครูบาศรีวิชัย
ดังที่กล่าวมาข้างต้น
เมื่อท่านย้ายมาประจำที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ท่านก็ยังออกจาริกไปสั่งสอนธรรมะแก่ชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่างๆอยู่เสมอๆ
เหมือนที่ท่านเคยปฏิบัติมา ผู้เฒ่าผู้รู้เหตุการณ์ ในระยะแรกที่หลวงพ่อมาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ผู้เฒ่าคนหนึ่งในหมู่บ้านนาเลี่ยงได้พูดกับชาวบ้านในละแวกนั้นว่า
" ต่อไปบริเวณเด่นยางมูล ( คือหมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบัน )
จะมีชาวกะเหรี่ยงอพยพติดตามครูบาวงศ์มาอยู่ที่นี่
จนเป็นหมู่บ้านใหญ่ในอนาคต
ในครั้งนี้จะใหญ่กว่าหมู่บ้านกะเหรี่ยง ๔
ยุคที่เคยอพยพมาอยู่ที่นี่ในสมัยก่อนหน้านี้ "
คำพูดอันนี้ในสมัยนั้นชาวบ้านนาเลี่ยงฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อถือกันนัก
แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน
คำพูดอันนี้ก็เป็นความจริงทุกประการ
หลวงพ่อได้เล่าให้คณะศิษย์ฟังเพิ่มเติมว่า
คนเฒ่าผู้นี้เป็นผู้รู้เหตุการณ์ในอนาคต
และมักจะพูดได้ถูกต้องเสมอ
มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากที่ท่านได้สร้างวิหารที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มเป็น
รูปร่างขึ้นแล้ว
ผู้เฒ่าคนนี้ในสมัยก่อนเคยเห็นคำทำนายโบราณของวัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาก่อน
ได้มาพูดกับท่านว่า
"
ท่านครูบาจะสร้างให้ใหญ่เท่าไหร่ก็สร้างได้
แต่จะสร้างใหญ่จริงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
ต่อไปจะมีคนๆหนึ่งมาช่วย
ถ้าคนนี้มาแล้วจะสำเร็จได้ " ชาวเขาอพยพตามมา เมื่อท่านอยู่ที่วัดห้วยต้มได้ไม่นาน
คำพูดของผู้เฒ่าคนนี้ก็เป็นความจริง
เพราะชาวเขาจากที่ต่างๆที่ท่านได้อบรมสั่งสอนมา
ได้อพยพย้ายถิ่นฐานติดตามมาอยู่กับท่านเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน
เพื่อมาขอพึ่งใบบุญและปฏิบัติธรรมะกับท่าน
ในระยะแรกๆ นั้น
ท่านได้ตั้งกฎให้กับพวกกะเหรี่ยงที่มาอยู่กับท่านว่า
พวกเขาจะต้องนำมีดไม้ที่เคยฆ่าสัตว์มาถวายวัด
และให้สาบานกับท่านว่า
จะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและจะกินมังสวิรัติตลอดไป
ท่านได้เมตตาให้เหตุผลว่า
ท่านต้องการให้เขาเป็นคนดี
ลดการเบียดเบียน
มีศีลธรรม
หมู่บ้านห้วยต้มจะได้มีแต่ความสงบสุขทั้งทางโลกและทางธรรม
และจะได้ไม่เป็นปัญหาของประเทศชาติต่อไป
ดังที่เราจะเห็นได้จากการที่ชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านห้วยต้มนี้มีความเป็น
อยู่ที่เป็นระเบียบและมีความสงบสุข
ตามที่ท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนมา
ทั้งที่ในหมู่บ้านนี้มีกะเหรี่ยงอยู่หลายพันคน
แต่ในสมัยนี้
กฎและระเบียบที่ชาวกะเหรี่ยงที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านห้วยต้มที่จะต้องนำ
มีดไม้ที่เคยฆ่าสัตว์มาสาบานกับหลวงพ่อนั้นได้ยกเลิกไปโดยปริยาย
เพราะหลวงพ่อเห็นว่า
ทางราชการได้ส่งหน่วยงานต่างๆเข้ามาจัดการดูแลช่วยเหลือ
และให้การศึกษาแก่พวกเขา
คงจะช่วยพวกเขาให้มีการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น
และมีความสงบสุขเป็นระเบียบเหมือนที่ท่านเคยอบรมสั่งสอนมา สมณศักดิ์ ๔ เมษายน
๒๕๑๔
เป็นพระครูใบฎีกาชัยยะวงศาพัฒนา
๕ เมษายน
๒๕๓๐
เป็นพระครูพัฒนากิจจานุรักษ์
๑๐ ธันวาคม
๒๕๓๓
เป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
๕ ธันวาคม
๒๕๔๐
เป็นพระครูพัฒนกิจจานุรักษ์
เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท เกียรติคุณ ๑๕ มีนาคม
๒๕๑๐
ได้รับแต่งตั้งเป็น
กรรมการพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอลี้
โดยเจ้าคณะจังหวัดลำพูน
๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๖
ได้รับรางวัล " ครูบาศรีวิชัย "
ในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลที่มีผลงานการส่งเสริมพัฒนาพระพุทธศาสนา
กิจการสาธารณะ
มีความวิริยะ
เสียสละเพื่อสังคม
และเป็นแบบอย่างที่ดี
มีปฏิปทาเดินตามรอยเยี่ยง
ครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญนักพัฒนาแห่งล้านนาไทย
๓ เมษายน
๒๕๓๙
ได้รับโล่เชิดชูเกียรติคุณในฐานะ " คนดีศรีทุ่งหัวช้าง " จาก
อ.ทุ่งหัวช้าง
จังหวัดลำพูน
๔ พฤษภาคม
๒๕๔๒
ได้รับโล่เชิดชูเกียรติในฐานะเป็น
ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านศิลปินดีเด่น
จังหวัดลำพูน
สาขาศิลปะ
สถาปัตยกรรม
จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
๒๓ พฤษภาคม
๒๕๔๒
ได้รับรางวัล
เสมาธรรมจักร
ในฐานะ "
บุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
สาขาส่งเสริมการพัฒนาชุมชน
"
ประวัติการจำพรรษา ลำดับการจำพรรษาเมื่อเป็นพระภิกษุ
พรรษาที่
๑
พ.ศ.๒๔๗๕ ( อายุ ๒๐
ปี ) วัดห้วยแม่บางแบ่ง เขตพม่า ( อุปสมบทที่วัดป่าน้ำ เมื่อเดือน ๕
เหนือ โดยมีครูบาเจ้าพรหมจักร เป็นพระอุปัชฌาย์
)
พรรษาที่
๒-๔
พ.ศ.๒๔๗๖-๗๘ ( อายุ
๒๑-๒๓ ปี ) วัดจอมหมอก ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย
จ.เชียงใหม่
พรรษาที่
๕
พ.ศ.๒๔๗๙ ( อายุ ๒๔
ปี ) วัดห้วยเปียง อ.แม่ระมาด
จ.ตาก
พรรษาที่
๖
พ.ศ.๒๔๘๐ ( อายุ ๒๕
ปี ) วัดไม้ตะเคียน อ.แม่ระมาด
จ.ตาก
พรรษาที่
๗-๘
พ.ศ.๒๔๘๑-๘๒ ( อายุ
๒๖-๒๗ ) วัดห้อยเปียง ( นุ่งขาวห่มขาว )
พรรษาที่
๙
พ.ศ.๒๔๘๓ ( อายุ ๒๘
ปี ) วัดห้วยหละ ต.ป่าพลู อ.บ้านโอ่ง
จ.ลำพูน
พรรษาที่
๑๐-๑๔
พ.ศ. ๒๔๘๔-๘๘ ( อายุ
๒๙-๓๓ ปี ) วัดป่าพลู ต.ป่าพลู
อ.บ้านโฮ่ง
จ.ลำพูน
พรรษาที่
๑๕-๑๘
พ.ศ.๒๔๘๙-๙๒ ( อายุ
๓๔-๓๗ ปี ) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย
อ.ลี้
จ.ลำพูน
พรรษาที่
๑๙-๒๔
พ.ศ.๒๔๙๓-๙๘ ( อายุ
๓๘-๔๓ ปี ) วัดแม่ต๋ำ ต.เสริมซ้าย
อ.เสริมงาม
จ.ลำปาง
พรรษาที่
๒๕-๒๗
พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๑ (
อายุ ๔๔-๔๖ ปี ) วัดน้ำอุ่น ต.แม่ตืน
อ.ลี้
จ.ลำพูน
พรรษาที่
๒๘
พ.ศ.๑๕๐๒ ( อายุ ๔๗
ปี ) วัดพระธาตุห้าดวง ต.ลี้ อ.ลี้
จ.ลำพูน
พรรษาที่
๒๙-๖๔
พ.ศ.๒๕๐๓-ปัจจุบัน (
อายุ ๔๘-๘๔ ปี) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย
อ.ลี้
จ.ลำพูน
ข้อมูลจาก :
http://www.itti-patihan.com |