การคาดคะเน

การคาดคะเน     หมายถึง การประมาณค่าที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นการคาดคะเน ระยะทาง  ขนาด  จำนวน และส่วนสูง โดยมีค่าผิดพลาด ไม่เกินร้อยละ 10

ประโยชน์ของการคาดคะเน

1.สามารถกะประมาณสิ่งต่างๆ ได้โดยใกล้เคียง  เพื่อจะแก้ไขเหตุการณ์บางประการ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน

2.เป็นการฝึกหัดไหวพริบ เพื่อการหลบเลี่ยงอันตราย

3.ทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี ถูกต้องใกล้ความเป็นจริง

1.การรู้ส่วนต่างๆของร่างกาย  ว่ายาวเท่าไร  กว้างเท่าไร เพื่อเอาไว้ใช้แทนเครื่องมือมาตรฐานสำหรับวัด ตัวอย่างดังนี้

 

1.ความสูงเหยียดแขนเต็มที่

 

2.ความสูงเสมอศีรษะ

 

3.หนึ่งวา (กางแขนทั้งสองเหยียดเต็มที่เสมอไหล่)

 

4.ความยาวของศอกถึงปลายนิ้วกลาง

 

5.เกรียก (ความยาวของง่ามนิ้วจากปลายนิ้วหัวแม่มือ ถึงปลายนิ้วชี้)

 

6.ความกว้างของหัวแม่มือ

 

7.คืบ (ระยะหัวแม่มือถึงปลายนิ้วก้อย)

 

8.ความยาวของฝ่าเท้า

 

9.ความสูงเสมอตา

 

10.ระยะก้าว จากปลายเท้าหลังถึงปลายเท้าหน้า

 

11.ระยะความยาวฝ่าเท้าทั้งสองต่อกัน

   

2.การกะระยะ เป็นการคะเนระยะของวัตถุที่ห่างจากตัวเรา  โดยอาจคิดเป็นจำนวนก้าว ซึ่งการคะเนนี้ต้องอาศัย ประสบการณ์และทดสอบดูบ่อยๆจนเกิดความเคยชิน

   - ลักษณะของบุคคลในระยะต่างๆ

 

1.เห็นปากเห็นตาชัดอยู่ในระยะ

50  เมตร

 

2.เห็นนัยน์ตาเป็นจุดอยู่ในระยะ

100  เมตร

 

3.เห็นแต่ดุมและเครื่องประดับที่เป็นเงาอยู่ในระยะ

200  เมตร

 

4.เห็นแต่ใบหน้าอยู่ในระยะ

250เมตร

 

5.เห็นแต่ขาก้าวเดินอยู่ในระยะ 

350เมตร

 

6.เห็นแต่สีเสื้ออยู่ในระยะ 

450เมตร

3.การคาดคะเนน้ำหนัก   การคะเนน้ำหนักนี้จะได้ผลใกล้เคียงต้องหมั่นฝึกหัด  และสังเกตเปรียบเทียบกับของที่มีน้ำหนักแน่นอน  โดยฝึกเป็นประจำจะเกิดความชำนาญ  และสามารถคาดคะเนได้ถูกต้อง

4.การคาดคะเนด้วยการกะส่วน    เป็นการคาดคะเนความสูงของสิ่งที่เราไม่สามารถวัดความสูงจากวัตถุได้   เช่นต้นไม้  หรือตึกวิธีการคือ  ให้ลูกเสือคนหนึ่งที่ทราบส่วนสูงแล้ว  ไปยืนตรงโคนต้นไม้ที่จะวัด  แล้วให้ลูกเสืออีกคนหนึ่งที่จะวัดส่วนสูงไปยืนห่างจากต้นไม้พอสมควร  เหยียดแขนขึ้นเสมอไหล่ในมือจับแท่งดินสอหรือปากกา  ให้หัวแม่มือทำหน้าที่กะระยะ

ความสูงของต้นไม้  = ความสูงของลูกเสือ x จำนวนเท่าของดินสอ

 

 

5.วิธีวัดเงา 

ใช้พลองปักห่างจากต้นไม้พอสมควร  ให้ตั้งฉากกับพื้นดินแล้ววัดความยาวของเงาไม้พลอง ดูว่ายาวเท่าไร เอาความยาวของเงาไม้พลอง ไปวัดเงาของต้นไม้จากโคนต้นไม้ไปจนถึงยอดของเงาต้นไม้  ได้กี่เท่าเอาความยาวของ ไม้พลองคูณ ก็จะได้ความสูงของต้นไม้

ความสูงของต้นไม้ = ความยาวของพลองจริง x จำนวนเท่าของเงาที่วัดได้

 

 

6.วิธีวัดความสูงด้วยน้ำโคลน 

   เอาภาชนะใส่น้ำโคลน  วางให้ห่างจากต้นไม้ที่จะวัดความสูงพอสมควร  ให้ลูกเสือยืนห่างออกมาในด้านตรงข้ามกับต้นไม้  และอยู่ห่างภาชนะในระยะที่พอเหมาะ  ให้ระยะของภาชนะถึงเท้าห่างเท่ากับระยะเท้ากับตา และให้มองเห็นเงาของยอดไม้อยู่ตรงกลางขันพอดี  ถ้าไม่เห็นให้เลื่อนภาชนะให้พอดีให้มองเห็นยอดไม้ได้  ให้วัดระยะจากภาชนะถึงโคนต้นไม้ ได้เท่าไร  คือ ความสูงของต้นไม้

 

 

7.วิธีทำนิ้วเป็นฟุต

   เป็นการวัดความสูงอีกแบบหนึ่ง  ให้เอาไม้พลองของลูกเสือวัดจากโคนต้นไม้ออกไป  11 ช่วงพลอง
เอาพลองปักลงให้ตั้งฉากกับพื้น  จากโคนไม้พลองให้วัดต่อออกมาอีก 1 ช่วงพลอง ให้ลูกเสืออีกคนหนึ่งนอนราบกับพื้นตรงจุดที่วัดต่อออกมา  แล้วมองผ่านไม้พลองขึ้นไปให้ตรงกับยอดไม้  ให้ลูกเสือที่ถือไม้พลองเอามือจับตรงจุดที่ตรงกับยอดไม้พอดี  แล้ววัดความยาวจากพื้นดินถึงตรงที่ใช้มือจับ  วัดได้กี่นิ้วเปลี่ยนหน่วยนิ้วเป็นฟุต  ก็จะได้ความสูงของต้นไม้เป็นฟุตนั่นเอง

 

 

8.วิธีล้มเงา (วิธีของคนตัดไม้)  

 

1.ใช้มือขวาจับดินสอหรือปากกาให้นิ้วหัวแม่มือจับดินสอ ในลักษณะที่สามารถเลื่อนนิ้วหัวแม่มือได้

 

2.เหยียดแขนตรงเสมอบ่า ยกดินสอขึ้น เลื่อนนิ้วหัวแม่มือให้ปลายนิ้วหัวแม่มือตรงกับโคนต้นไม้  ปลายดินสอให้ตรงกับยอดไม้

 

3.เสร็จแล้วพลิกดินสอลงให้ขนานกับพื้น ให้โคนดินสอยังคงอยู่ที่โคนต้นไม้  ปลายดินสอตั้งฉากกับต้นไม้  ให้ลูกเสืออีก

 

    คนหนึ่งเดินจากโคนต้นไม้ ไปยืนตรงจุดที่ตรงกับปลายดินสอ

 

4.วัดระยะจากโคนต้นไม้  ถึงที่ลูกเสือยืน  คือระยะความสูงของต้นไม้

 

 

9.วัดความกว้างของคลอง

 

1.กำหนดจุดที่ 1 ตรงริมฝั่ง (จุด B)  ที่ฝั่งตรงข้าม ให้กำหนดที่หมายที่สังเกตเห็นได้ง่าย  (จุด A)

 

2.เดินจากจุดที่ 1 (จุด B) ให้ตั้งฉากกับแนวที่หมายไว้  ระยะทางประมาณ 20 ก้าว ให้ปักหลักที่ 2 (จุด C)

 

3.จากจุดที่ 2 (จุด C) เดินต่อไปอีก 20 ก้าว  ปักหลักที่ 3 (จุด D)

 

4.จากหลักที่ 3 เดินเข้ามาในฝั่งให้เป็นแนวตั้งฉาก  จนมองเห็นจุดที่ 2 (จุด C) เป็นเส้นตรงเดียวกับจุดหมายที่สังเกตไว้ในฝั่งตรงข้าม

 

   (จุด A)    ให้ปักหลักที่ 4 (จุด E)

 

5.วัดระยะระหว่างหลักที่ 2 กับหลักที่ 4 ได้เท่าไร  ก็จะเป็นความกว้างของคลอง  (DE= AB

 

 

10.วัดความกว้างด้วยปีกหมวก(ของหมวกปีก)

 

1.สวมหมวกให้ตรง ยืนตัวตรง สายตามองไปฝั่งตรงข้าม  ก้มหน้าลงให้ริมขอบปีกหมวกอยู่บนที่หมายริมฝั่งตรงข้าม ให้แนวสายตามองผ่านริมปีกหมวกพอดีจรดริมฝั่ง (เอากำปั้นยันคางไว้ไม่ให้เคลื่อนที่)

 

 

 

2.หันตัวช้าๆกับไปตามฝั่ง  ให้สายตาผ่านริมขอบหมวกออกไป (พยายามอย่าให้คอเคลื่อนที่)  ให้ลูกเสืออีกคนไปยืนตรงจุดที่ริมขอบหมวกจรดอยู่  วัดระยะจากที่ยืนไปถึงลูกเสืออีกคนหนึ่ง  เป็นความกว้างของแม่น้ำหรือคลองที่วัด

 

 

ครูศราวุธ  เขื่อนคำ  วุฒิทางลูกเสือ :  L.T.  ตำแหน่งทางลูกเสือ : รองผู้ตรวจการลูกเสือประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ

ครู ชำนาญการพิเศษ(ลูกเสือ)โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา  ลำพูน  : นายกสมาคมผู้บังคับบัญชาลูกเสือลำพูน  
ที่อยู่ สมาคมผู้บังคับบัญชาลูกเสือลำพูน    เลขที่ 450 / 3 หมู่ที่4    ถนนพหลโยธิน(อาคารสำนักงานส่งเสริมวินัยนักเรียน)  
ตำบลลี้    อำเภอลี้    จังหวัดลำพูน 51110 Tel : 08-1026-9760  ,  หรือ krutujao_scout@hotmail.com

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อ :

คณะลูกเสือแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาลูกเสือทั้งกาย  สติปัญญา  จิตใจ  ศึลธรรม ให้เป็นพลเมืองดี  มีความรับผิดชอบ  ช่วยสร้างสังคมให้มีความเจริญก้าวหน้าเพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติ